เมื่อเรารู้สึก..."ไม่ belong"

Published on
Nov 15, 2023
|
By
Preaw
|
4
mins read

"ฉันมาทำอะไรที่นี่" มีใครเคยรู้สึกแบบนี้บ้าง

Prof.Amy Cuddy ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคม และอาจารย์ประจำที่ Harvard Business School เล่าเรื่องนักศึกษาที่ไม่มีส่วนร่วมในชั้นเรียนและเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะสอบตก หากมองเพียงภายนอก เด็กกลุ่มนี้ดูจะเป็นพวกไม่ตั้งใจเรียน ไม่อ่านหนังสือที่อาจารย์สั่ง ไม่ตอบไม่ถามใด ๆ ในห้องเรียนเลย แต่เมื่อเธอลองเรียกนักศึกษาเหล่านั้นมาคุย จึงได้พบว่า เด็กเหล่านี้มีความคิดและรู้สึกว่า “ชั้นมาทำอะไรที่นี่”

ประโยคนี้ทำให้เธอนึกถึงสมัยที่ตนเองยังเป็นนักศึกษาปี 1 ที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เธอเคยเป็นแบบเดียวกัน และมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กัน คือ อยากจะลาออก ไม่อยากจะพยายามอีกต่อไปแล้ว อ่านแล้วทำให้ผู้เขียนนึกถึงวันปฐมนิเทศนักศึกษาเข้าใหม่ที่ Graduate School of Education, Stanford University โปรเฟสเซอร์บอกกับพวกเราอย่างชัดเจนว่า ไม่มีใครที่ “ฟลุค” เข้ามาเรียนที่นี่ได้ ทุกคนที่มาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่กรรมการอ่านใบสมัครผิด แต่เพราะทุกคนมีความสามารถและเหมาะกับที่นี่

หลายปีต่อมา เพื่อนร่วมชั้นชาวอเมริกันคนหนึ่ง มาเล่าว่า ถ้าวันนั้นอาจารย์ไม่ได้พูดแบบนั้น เขาคงวิตกกังวลไปเรื่อย ๆ จนไม่เป็นอันเรียนแน่ ๆ เพราะเขามักมีความคิดเสมอ ๆ ว่าตัวเองไม่เหมาะไม่เก่งพอจะอยู่ที่นี่

เราเป็นส่วนหนึ่ง (Belonging)

ความคิดที่ว่า “เราเป็นส่วนหนึ่ง” (Belonging) คือการรับรู้ว่าเราได้รับการยอมรับ มีคนให้ค่าเราและนับเราเข้าเป็นส่วนเดียวกันกับพวกเขาและคนอื่น ๆ ในกลุ่มนั้น เราจะรู้สึกมีคุณค่า ตัวเองมีค่า

หากเรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มันจะทำให้เราเพิ่มความพยายามที่จะอยู่ในกลุ่มนั้น ในแง่การเรียนรู้เราจะพยายามเรียนรู้มากขึ้น จะสู้กับอุปสรรคมากขึ้น ไม่ย่อท้อยอมแพ้ง่าย ๆ และความรู้สึกทางลบในการเรียนรู้ก็จะลดลง แต่ถ้าเราคิดว่าเราไม่ได้เป็นพรรคพวกเดียวกัน เราจะกังวลมากขึ้น และนั่นจะไปกดข่มความสามารถในการเรียนรู้ลง เพราะการเรียนคือการเข้าสังคม มันเกิดขึ้นในบริบทและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับคน ไม่ว่าจะในห้องเรียน ที่ทำงาน และยิ่งเมื่อคนเราทำอะไรผิดพลาด เรามักจะคิดว่า ที่ตรงนี้ไม่เหมาะกับเราแล้วล่ะ

ลองนึกถึงนักกีฬาที่แข่งแล้วแพ้ นักเรียนที่เรียนไม่ดี หากไม่มีความคิดว่า ฉันยังเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอยู่ เช่น ฉันยังอยู่ในวงการกีฬาได้ ยังอยู่ในวงธุรกิจหรือ start up ได้ พวกเขาก็มักจะเลิก ลาออก หันไปทำอย่างอื่นแทน

แล้วจะแก้ไขอย่างไร

  1. เปลี่ยนมุมมอง
  2. เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม คือเปลี่ยนโครงสร้างของปฎิสัมพันธ์ในกลุ่ม เพื่อให้เขามีความรู้สึกว่า ได้เชื่อมโยงและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม

เปลี่ยนมุมมอง

มีการทดลองให้นักศึกษาเข้าใหม่ได้อ่านเรียงความของรุ่นพี่ พวกเขาพบว่า รุ่นพี่รุ่นอื่น ๆ หลายคนก็รู้สึกเช่นเดียวกับพวกเขาตอนนี้ คิดว่าเราไม่เหมาะกับคณะนี้ มหาวิทยาลัยนี้ ไม่รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับที่นี่ โดยเฉพาะนักศึกษาแอฟริกันอเมริกัน ที่มักถูกเหมารวมจากสังคมอยู่แล้วว่าไม่น่าจะเรียนสูงได้ ซึ่งภายหลังจากได้อ่านเรียงความเหล่านั้น พร้อม ๆ กับการได้ทำกิจกรรมกลุ่มที่เพิ่มความคุ้นเคย นักศึกษาที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนและคณะ กลับมีผลการเรียน GPA ดีขึ้นอย่างชัดเจนในเทอมถัดไป และดีขึ้นเรื่อย ๆ จนจบการศึกษา

ยังมีอีกการทดลองหนึ่ง ที่ทำเพื่อช่วยปรับความเชื่อในหมู่นักศึกษาหญิง ว่าผู้หญิงไม่เก่งเลข โดยการทดลองนี้ได้แบ่งนักศึกษาเป็นสองกลุ่มเพื่อทำโจทย์เลข แต่พิเศษตรงที่สำหรับกลุ่มที่สอง จะมีคนบอกว่า โจทย์นี้ออกแบบมาสำหรับคนทุกเพศ เพศไหนก็ทำได้ไม่ต่างกัน ผลคือในกลุ่มแรก ผู้หญิงทำได้แย่กว่าผู้ชาย แต่กลุ่มสองผู้หญิงทำคะแนนได้ดีกว่า

การดทลองทั้งหมดนี้ ได้ช่วยลดความเชื่อและภาพจำเรื่องการเหมารวม และเพิ่มความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขึ้นมาได้

เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม

เราสามารถเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานกันเอง กับเจ้านายหรือหัวหน้า ระหว่างนักศึกษากับอาจารย์ ด้วยการ “ตั้งเป้าหมายร่วมกัน”

เมื่อทุกคนรับรู้เป้าหมายของคนอื่น ได้บอกเป้าหมายของตัวเอง และนำมาตั้งเป้าหมายของกลุ่มร่วมกัน จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นกลุ่มเดียวกัน และเกิดความรู้สึกยอมรับขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ในองค์กรขนาดเล็ก หรือในองค์กรใหญ่ระดับทีม แผนก หากเป็นสถานศึกษา ก็ใช้ในระดับห้องเรียนหรือชั้นเรียนได้

อีกการทดลองที่เรียกว่า Perspective ranking นั้น มีวิธีการคือให้นักศึกษาทายว่า อาจารย์อยากให้นักศึกษาทำอะไรมากที่สุด เรียงลำดับลงมา 5 อย่าง แล้วนำมาเทียบกันว่า ตรงกับที่อาจารย์คิดไว้หรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ตรงกันทั้งหมด เมื่อนักศึกษาได้เห็นว่า สิ่งที่อาจารย์อยากให้ทำนั้นไม่เหมือนที่ตนทายไว้ จึงนำไปสู่การสนทนาว่าเพราะอะไร นักศึกษาจึงคิดเช่นนั้น และสรุปท้ายตกลงร่วมกันเพื่อสร้างระเบียบและเป้าหมายของการเรียนรู้ซึ่งการทำเช่นนี้ส่งเสริมการเรียนรู้มากขึ้น

สรุป

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบการเรียนรู้ ทั้งในบริบทสถานศึกษาหรือองค์กร ผู้สอน ผู้ออกแบบ กระบวนกร หัวหน้าทีม จำต้องสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มให้เกิดขึ้น ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจ และก็อาจมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ความรู้สึกว่าไม่เป็นส่วนหนึ่งยังคงอยู่ ถึงกระนั้นการพยายามลงมือปรับเปลี่ยนทั้งมุมมองและสิ่งแวดล้อม ก็ควรจะต้องทำเพื่อช่วยลดอุปสรรคในการเรียนรู้

****บทความนี้เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท อาร์ทิพาเนีย จำกัด

อ้างอิงจาก บทความ Harvard Business School Case study: Gender Equity
Walton, G.M, Cohen, G.L (2011). A brief social-belonging intervention improves academic and health outcomes of minority students. Science, 331(6023), 1447-1451
Spencer, S.J. Steele, C.M. & Quinn, D.M (1999). Stereotype threat and women’s math performance. Journal of Experimental Social Psychology, 35(1), 4-28.

Contact